เรียนแต่พินอินได้มั้ย ไม่บังคับ

ขอนำบทความของอาจารย์เหยริน จิ่ง เหวิน ได้อธิบายไว้ดีมากๆ แต่ยาวไปนิดดด (ผู้เขียนเป็นชาวจีนที่มาเรียนภาษาไทยที่นี่ค่ะ)
               แต่ไม่ใช่ว่าจะรู้แต่พินอินแล้วผิด เพราะบางคนไปเมืองจีนบ่อยมากๆ ฟังได้เข้าใจโดยไม่เคยเห็นตัวหนังสือเลยก็มี แต่นั่นเป็นการซึมซับโดยธรรมชาติ ซึ่งต้องใช้เวลาคลุกคลีบ่อยๆ เข้าลักษณะ รู้ภาษาแต่ไม่รู้หนังสือ

เรียนภาษาจีนด้วย pinyin อย่างเดียวได้หรือไม่(能否仅利用拼音来学习汉语?)
拼音(pinyin) หมายถึง ตัวอักษรโรมันที่ใช้ในการกำกับการออกเสียงของภาษาจีน คนไทยที่เรียนภาษาจีนนิยมพูดเป็นคำทับศัำพท์คือ พินอิน (pinyin) หรือไม่ก็แปลเป็นสัทอักษร และยังมีบางท่านชอบใช้ภาษาอังกฤษมาเรียก คือ phonetic

           สาเหตุที่การเรียนการสอนภาษาจีนต้องอาศัย 拼音(pinyin) ก็เนื่องจากระบบการเขียนภาษาจีนไม่ได้แสดงการออกเสียง การเรียนรู้การออกเสียงในภาษาจีนจึงจำเป็นต้องอาศัยเครื่องหมายกำกับการออกเสียงเข้ามาช่วย ก็เพื่อทำให้การเรียนการสอนภาษาจีนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
          จีนจึงได้พัฒนาและประกาศใช้ระบบอักษรโรมันกำกับการออกเสียงของภาษาจีนขึ้นมาใหม่อีกระบบหนึ่งในปี ค.ศ.1958 โดยดัดแปลงมาจาก International Phonetic Alphabets ชื่อเต็มภาษาจีนเรียกว่า 汉语拼音(hànyŭpīnyīn) ซึ่งเปรียนเสมือนเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ต้องใช้ในการเรียนภาษาจีน

        ที่ผ่านมามีนักเรียนจำนวนหนึ่งที่ไม่เคยเรียนภาษาจีนมากก่อนได้แสดงเจตจำนงว่า ขอเรียน 拼音(pinyin) อย่างเดียว บ้างก็ให้เหตุผลว่าแค่อยากจะพูดได้ฟังได้เท่านั้น ไม่อยากไปเสียเวลากับระบบการเขียนของภาษาจีนหรือตัวหนังสือจีนเพราะรู้ว่ามันยุ่งยากมาก บ้างก็บอกว่าไม่ค่อยมีเวลา แต่จำเป็นต้องใช้ภาษาจีนในเร็ว ๆ นี้ เรียน 拼音(pinyin) อย่างเดียวจะได้เห็นผลเร็วหน่อย ครับ นี่คือที่มาของปัญหา เรียนภาษาจีนด้วย 拼音(pinyin) อย่างเดียวได้หรือไม่

           มีศูนย์ภาษาหลายแห่งเคยเปิดหลักสูตรสนทนาภาษาจีนเร่งด่วนโดยให้เรียน 拼音(pinyin) อย่างเดียวเพื่อตอบสนองความต้องการของนักเรียนกลุ่มนี แต่ส่วนใหญ่สอนไปแค่ร้อยกว่าชั่วโมงก็ล้มเหลวไป ต้องกลับมาเรียนหลักสูตรปกติใหม่ คือเรียนทั้งตัวหนังสือและ 拼音(pinyin)
        การเปิดหลักสูตรประเภทนี้เข้าทำนองว่า "บกพร่องโดยสุจริตใจ" คือเจตนาดีมาก แต่สุดท้ายไปไม่รอด จริง ๆ แล้วถ้าเราเข้าใจในธรรมาชาติของภาษาจีนเป็นอย่างถ่องแท้แล้วก็น่าจะรู้ล่วงหน้าว่าจุดจบของหลักสูตรประเภทนี้จะเป็นอย่างไร เพราะมีปัจจัยหลายอย่างไม่อำนวยให้เรียนด้วย 拼音(pinyin) อย่างเดียว กล่าวคือ

1.ภาษาจีนเป็นภาษาคำโดด คือหนึ่งพยางค์หนึ่งคำ รากศัพท์ทั้งหมดกับคำศัพท์พื้นฐานจำนวนมากมีแต่หนึ่งพยางค์ ซึ่งต่างกับอีกหลาย ๆ ภาษา (เช่น ภาษาอังกฤษ ซึ่งคำศัพท์ส่วนใหญ่มีสองพยางค์ขึ้นไป) จึงทำให้เกิดปัญหาขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นก็คือในภาษาจีนเสียงเดียวกันอาจมีความหมายหลาย ๆ อย่าง ซึ่งถ้าเขียนเป็น 拼音(pinyin) แล้วจะหมือนกันหมด ไม่รู้ความหมายคืออะไรกันแน่ จำเป็นต้องอาศัยตัวหนังสือจีน ซึ่งถึงแม้เสียงเหมือนกัน แต่รูปละความหมายต่างกันนั้นมาช่วยแยกแยกความหมาย

2.เสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ในระบบการออกเสียงของภาษาจีนกลางนั้นค่อนข้างน้อย (คือระบบการออกเสียงค่อนข้างง่าย) จึงยิ่งทำให้ปัญหาเสียงเดียวกันหลายความหมายเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น และต้องอาศัยตัวหนังสือถึงจะแก้ปัญหาได้
                  ยกตัวอย่างเช่นเสียง shi (รวมเสียงวรรณยุกต์ 4 เสียง) มีความหมายามากมายในภาษาจีน ตัวหนังสือที่ออกเสียงนี้มีไม่ต่ำกว่า 80 ตัว ต่อไปผมจะเอาเฉพาะตัวหนังสือที่ใช้บ่อยมาเรียงให้ท่านดูตามเสียงวรรณยุกต์ 4 เสียง ดังนี้

shī 师 诗 施 失 湿 狮 尸 虱
shí 十 石 时 食 实 识 石 什 拾 蚀
shǐ 使 史 屎 始 驶 矢 豕
shì 士 室 是 事 示 式 世 市 视 试 氏 似 铈 适 释 逝 逝 势 仕 誓 侍 嗜

     ลองคิดดูซิครับ ถ้าเรียน 拼音(pinyin) อย่างเดียว เมื่อได้คำศัพท์สักร้อยสองร้อยคำอะไรจะเกิดขึ้น
คำที่ออกเสียงเหมือนกันเริ่มจะมีมากขึ้น เสียงที่ซ้ำกันจะสร้างความสับสน ความปั่นป่วน และความยุ่งยากจะนำไม่หวาดไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องเลิก หรือไม่ก็หันกลับมาเริ่มต้นใหม่กับหารเรียนตัวหนังสือ เสร็จแล้วค่อยเรียนต่อ

3. เมื่อเสียงที่ไม่สามารถแยะแยะความหมายเพิ่มมากขึ้นก็จะเป็นอุปสรรคในการใช้คำ จนกระทั้งผู้สอนไม่สามารถอธิบายไวยากรณ์ได้อีก (ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับการสอนภาษาต่างประเทศให้กับผู้ใหญ่) นักเรียนต้องอาศัยการท่องจำเกือบทั้งหมด แถมท่องจำความหมายของประโยคได้ แต่คำบางคำไม่แน่ใจในความหมาย เพราะเสียงอาจไปซ้ำกับคำอื่นที่เคยเรียนมาแล้ว
       ขณะที่ผู้สอนก็เหมือนกับกำลังสอนนกแก้วนกขุนทองฝูงหนึ่งในห้องเรียน อะไรจะน่าเบื่อมากกว่านี้คงไม่มีอีกแล้ว สุดท้าสยการเรียนการสอนเริ่มเข้าสูวงจรอุบาทว์จนไม่สามารถดำเนินการต่อได้

       ดังนั้นเมื่อนักเรียนขอร้องก็คงเป็นหน้าที่ของโรงเรียนหรือผู้สอนที่ต้องอธิบายให้นักเรียนเเข้าใจว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร การเรียนการสอนที่เป็นระบบและหวังผลในระยะยาว
       โดยขั้นแรกมีจุดมุ่งหมายที่จะช่วยให้นักเรียนพอจะพูดภาษาจีนในเรื่องเกี่ยวกับชีวิตประจำวันและการทำงานทั่วไปได้ จนนำไปสู่การใช้ความรู้ภาษาจีนไปประกอบอาชีพได้ในที่สุดนั้น จำเป็นต้องเรียนตัวหนังสือจีนตั้งแต่แรก ถ้าตั้งเป้าไว้แบบนี้ เรียนด้วย 拼音(pinyin)อย่างเดียวทำไม่ได้แน่นอน

        แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมไม่ได้หมายความว่าเรียนด้วย 拼音(pinyin) อย่างเดียวไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าอาทิตย์หน้าหรืออีกเดือนสองเดือนข้างหน้าท่านต้องใช้ภาษาจีน (ดีกว่าพูดอะไรไม่ได้เลย)
เรียน 拼音(pinyin) อย่างเดียวเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็ไม่ใช่จะทำไม่ได้ 10-20 ชั่วโมงแรกจะเห็นผลเร็วกว่าการเรียนตัวหนังสือควบคู่กันไปด้วยซ้ำ 

         แต่ขอให้จำไว้ว่า นี่เป็นแค่การเรียนในระยะสั้น ระยะยาวไม่มีทางทำได้ เพราะตามปกติ พอเรียนไปร้อยกว่าชั่วโมงก็จะถึงทางตันแล้ว ถ้าเทียบกับการปลูกบ้าน การเรียนภาษาจีนด้วย 拼音(pinyin) อย่างเดียวเปรียบเสมือนไม่ได้ตอกเสาเข็ม และใช้เหล็กเส้นกับปูนทำคานให้พื้นแน่น แค่เอาอิฐปูนมาก่อบนพื้นเรียบ ๆ ขึ้นชั้นที่หนึ่งอาจจะเร็ว แต่พอจะก่อชั้นที่สอง บ้านก็พังลงมา

       ถ้าแค่อยากเรียนในระยะสั้น อยากท่องจำได้สัก 40-45 ประโยคง่าย ๆ ไปใช้งาน(ดีกว่าพูดไม่ได้ซักคำเลย) ผมว่าแม้แต่ 拼音(pinyin) ก็ไม่ต้องเรียนให้เสียเวลาเลย (ผมพูดจริง ไม่ได้ประชดนะครับ)
หาซื้อหนังสือสนทนาภาษาจีนที่มีแต่คำแปล และใช้อักษรไทยกำกับการออกเสียงไปอ่านและท่องเอา มันจะง่ายกว่าเยอะและไม่สิ้นเปลืองสตางค์ด้วย แต่แน่นอน ท่านไม่มีทางไปได้ไกล ดูเหมือนว่า ปัจจุบันนี้ ในท้องตลาดมีหนังสือประเภทนี้วางขายอยู่หลาย ๆ เล่ม

       ถ้าเรียนแบบอาศัยการท่องจำอย่างเดียว อ่านแล้วถงจะได้ประโยชน์ แต่ผมยังไม่เคยเห็นมีใครใช้หนังสือประเภทนี้เรียนแล้วเก่งภาษาจีนแม้แต่รายเดียว ส่วนใหญ่ท่องไม่กี่หน้า พูดได้ไม่กี่ประโยค ก็เอาหนังสือไปเก็บไว้ในตู้จนขึ้นราหรือไม่ก็ชั่งกิโลขายทิ้งไป

      มีประเด็นหนึ่งน่าสนใจมากฝากไว้เป็นข้อคิดในท้ายบทนี้ กล่าวคือในมุมมองตรงกันข้าม ถ้าหากว่าสามารถอาศัย 拼音(pinyin) อย่างเดียวเรียนภาษาจีนได้ บัดนี้ระบบการเขียนของภาษาจีนคงไม่ใช่ระบบตัวหนังสืออย่างที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้แล้ว มันน่าจะออกมาเป็นระบบอักษรที่แสดงการออกเสียงไปตั้งแต่ต้นแล้ว

ที่มา: หนังสือจุ๊กจิ๊กจอจีน เล่ม1 ผู้เขียน เหยินจิ่งเหวิน

ปล. อย่างไรก็ดีไม่ใช่กฎตายตัวที่ต้องเรียนตามระบบให้ 100% อยู่ที่ความสามารถแต่ละคน
Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้